วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โรคบ้างาน ภัยเงียบของคนวัยทำงาน

โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ โรคบ้างาน ภัยเงียบ ของคนวัยทำงานที่รักงาน - ชอบทำงานหนัก

ท่ามกลางการแข่งขันของสังคมไทยในยุคปัจจุบันทำให้คนเราต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่พอเพียงสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน ที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวหรือสร้างครอบครัวใหม่บางคนถึงกับต้องทำงานหนักเพิ่ม ขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เพราะมีความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บ้าน รถ ฯลฯ และจากการทำงานที่หนักขึ้นอาจกำลังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพกายและใจได้โดยไม่ รู้ตัวจนส่งผลให้บุคคลนั้นมีอาการของ "โรคบ้างาน"

โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ โรคบ้างาน ปัจจุบันโรคนี้จะพบมากขึ้นในคนไทยซึ่งแต่เดิมที่จะพบแค่ในผู้ชายญี่ปุ่นเท่านั้นซึ่งเรียกว่าโรค Workaholic หรือ โรคติดงาน

คนที่ชอบทำงานหนัก หากได้ยินชื่อโรคนี้อาจจะตื่นตระหนกได้ แต่ความจริงแล้วโรคออฟฟิศซินโดรม หรือ บ้างาน นี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงและน่ากลัวอย่างที่คิด เป็นแค่เพียงภาวะทางจิตอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลอาจจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา

นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ โรคบ้างาน เดิมทีจะพบมากในผู้ชายญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ทุกวันนี้พบในสังคมไทยแล้วและจากการสำรวจ ประชากรวัยแรงงานหรือวัยทำงานของประเทศไทยพบว่ามีจำนวนถึงร้อยละ 67 ของจำนวนประชากรทั่วประเทศซึ่งจะส่งผลให้โรคนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นและ อาจกลายเป็นภัยที่คุกคามสุขภาพได้ หากใช้ชีวิตในวัยทำงานอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สามารถพบได้ทั้งชายและหญิง เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงไทยออกไปทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น เนื่องมาจากสังคมไทยมีการแข่งขันกันสูง การให้ฝ่ายชายไปทำงานนอกบ้านฝ่ายเดียวอาจจะไม่พอรายจ่ายภายในครอบครัว โรคบ้างานจะพบได้มากโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีบุคลิกเป็นคนสมบูรณ์แบบ เจ้าระเบียบ ชอบแข่งขัน มีความทะเยอทะยาน เอาจริงเอาจังในทางจิตวิทยาเกิดจากพฤติกรรมของคนที่ชอบทำงานเยอะและมีความ สุขจากการทำงานซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการเสพติดงาน มีจิตใจคิดวนเวียนอยู่กับการทำงาน

"อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้จากโรคนี้ได้แก่ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดท้ายทอย สายตาพร่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆตามมา เช่น โรคหัวใจ กระเพาะอาหาร และโรคร้ายแรงอื่นได้และถ้าสังเกตภาวะอารมณ์ ของผู้ที่มีอาการของโรคบ้างานจะกลายเป็นคนที่มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด เกี้ยวกราดกับเพื่อนร่วมงาน การพูดคุยไม่เหมือนเดิม จะให้ความสนใจแต่เฉพาะในเรื่องของการทำงานจนกระทบต่อ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ส่วนสัญญาณเตือนของโรคบ้างานสามารถสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่าทำงานหนัก เกินไปหรือเปล่าและคอยสังเกตซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เช่นการสังเกตการสื่อสารซึ่งกันและกัน การแสดงออกทางการพูดจา ว่ามีอาการชักสีหน้า อารมณ์ฉุนเฉียวเข้าหากันหรือเปล่าเหล่านี้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคบ้างานได้"

"เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวจากการทำงานซึ่งเปรียบเสมือนเป็น สัญญาณเตือนภัยแล้วในเบื้องต้นต้องตระหนักรู้ด้วยว่าอาจจะต้องมีการปรับเป้า หมายในชีวิตใหม่ วางแผนในชีวิตใหม่ ชะลอความต้องการความอยากได้ไว้ก่อนและที่สำคัญที่สุดก็คือการตระหนักรู้ร่วม กันภายในครอบครัว เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่ดีสุด"

โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานสามารถการป้องกันและรักษาได้ด้วยตนเองหากไม่ มีการดูแลรักษาอาจจะนำไปสู่การเป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงได้....

นพ.วชิระ ยังกล่าวอีกว่า โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวอย่างที่คิดแต่ต้อง ดูแลรักษาหากไม่ตระหนักรู้ดูแลรักษาแล้วจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา อาทิ เช่น เบาหวาน ความดัน เก๊าส์ ไตวาย อัมพาต ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการกินไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะมีภาระ หน้าที่ต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ทั้งหญิงและชาย โดยอาจเกิดขึ้นจาก ความเจ็บปวดของเส้นประสาท ทำให้ลดความรู้สึกลง หรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว อีกด้วย

แนวทางการป้องกันรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมสามารถนี้ทำได้เพียงแค่ "ปรับพฤติกรรมการทำงานเสียใหม่โดยมีสัดส่วนเวลาการทำงานกับเวลาพักผ่อนให้ สมดุลกันควรในเวลาทำงานควรมีการผ่อนคลายพักหาวิธีการผ่อนคลาย เช่น หลับตา หายใจลึก สักพัก ระหว่างเวลาทำงาน 1 ชั่วโมง เราควรใช้สมอง 45 นาทีแล้วพัก 10-15 นาที ควรทำอย่างนี้ทุกชั่วโมง การปรับเวลาเหล่านี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนที่ธรรมชาติร่างกายต้องการ" โดยไม่จำเป็นต้องไปปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าหนักไม่ไหวแล้วจริงก็สามารถโทรขอคำปรึกษาไดที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือปรึกษาคลินิกคลายเครียดที่มีอยู่ในหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิตได้ แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่พบรายงานว่ามีคนทำงานที่เป็นโรคบ้างานถึงขั้นเบรก แตก ควบคุมตัวเองไม่ได้ส่วนใหญ่จะรู้ตัวก่อน นพ.วชิระ กล่าว

โรคออฟฟิศซินโดรมหรือโรคบ้างานเป็นภาวะทางจิตสามารถป้องกันรักษาโดยลดความ เครียดจากการทำงานที่หนักเกินพอดีหากรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงาน และปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงหรือพยายามมองชีวิตว่าไม่มีแต่เรื่องงาน เพียงอย่างเดียว ควรจัดเวลาในแต่ละวันให้มีกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวและเรื่องทำงานให้ควบคู่และสมดุลกัน และที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเองและรู้ถึงสาเหตุของโรคที่เกิดจากการทำงานและ ปรับปรุงให้เหมาะสม ปัญหาที่เกิดจากการทำงานก็ลดน้อยลงซึ่งจะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคออฟฟิศซิ นโดรมหรือโรคบ้างานได้อย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น